Double-Spending ใน Crypto คืออะไร?
ในโลกของสกุลเงินดิจิทัล การทำธุรกรรมซ้ำซ้อนเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดต่อความสมบูรณ์ของระบบบล็อกเชน ในบทความนี้ เราจะมาลงรายละเอียดกันว่าการทำธุรกรรมซ้ำซ้อน (Double-Spending) คืออะไร ทำไมมันถึงเป็นความเสี่ยง และสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin แก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
ทำความเข้าใจกับการทำธุรกรรมซ้ำซ้อน
สกุลเงินแบบดั้งเดิมอย่างเงินสดไม่มีปัญหาเรื่องการทำธุรกรรมซ้ำซ้อน เนื่องจากเงินสดจริงไม่สามารถจ่ายซ้ำได้ – เมื่อคุณส่งธนบัตรให้ผู้อื่น เงินนั้นก็ไม่อยู่ในความครอบครองของคุณอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ในกรณีของสกุลเงินดิจิทัล การคัดลอกข้อมูลทำได้ง่าย เนื่องจากสกุลเงินดิจิทัลมีอยู่ในรูปแบบดิจิทัลล้วน ๆ ผู้ไม่หวังดีอาจสามารถสร้างสำเนาของเหรียญหรือจัดการธุรกรรมเพื่อใช้สินทรัพย์เดียวกันหลายครั้งได้
หากไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม ปัญหาการทำธุรกรรมซ้ำซ้อนอาจนำไปสู่ความล้มเหลวของระบบ ความสูญเสียทางการเงิน และการสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบโดยรวม
วิธีการที่อาจเกิดการทำธุรกรรมซ้ำซ้อนขึ้นได้
มีหลายวิธีที่การทำธุรกรรมซ้ำซ้อนสามารถเกิดขึ้นในระบบบล็อกเชน:
- Race Attack ในกรณีนี้ จะมีการส่งธุรกรรมที่ขัดแย้งกันสองรายการในเวลาใกล้เคียงกัน ผู้ใช้อาจพยายามใช้เหรียญเดียวกันในสองธุรกรรม โดยหวังว่าหนึ่งในนั้นจะได้รับการยืนยันในขณะที่อีกธุรกรรมหนึ่งถูกยอมรับโดยผู้ค้าก่อนที่เครือข่ายจะปฏิเสธ
- Finney Attack ผู้ขุด (Miner) ทำการขุดบล็อกล่วงหน้าที่มีธุรกรรมซึ่งส่งเหรียญไปยังที่อยู่ของตัวเอง จากนั้นใช้เหรียญเดียวกันในธุรกรรมนอกบล็อกและเผยแพร่ธุรกรรมนั้นไปยังเครือข่าย โดยหวังว่าบล็อกที่ถูกขุดไว้ล่วงหน้าจะได้รับการยืนยันในที่สุด
- 51% Attack หากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งควบคุมพลังการขุด (Mining Power) มากกว่า 50% ของเครือข่าย พวกเขาสามารถแก้ไขประวัติของบล็อกเชนได้ ในกรณีของ 51% Attack นี้ พวกเขาสามารถย้อนธุรกรรมก่อนหน้าและใช้เหรียญเดียวกันซ้ำได้สำเร็จ
ดังนั้น การเฝ้าระวังและตรวจสอบธุรกรรมอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหาการทำธุรกรรมซ้ำซ้อน
ผลกระทบของการทำธุรกรรมซ้ำซ้อนต่อตลาด
การทำธุรกรรมซ้ำซ้อนเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากส่งผลต่อความไว้วางใจและความปลอดภัยในธุรกรรมดิจิทัล นี่คือวิธีที่การทำธุรกรรมซ้ำซ้อนอาจส่งผลกระทบต่อตลาด
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
การทำธุรกรรมซ้ำซ้อนสามารถนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อได้ หากผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถใช้โทเคนซ้ำได้บ่อยครั้ง จะทำให้อุปทานของสกุลเงินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มูลค่าของสกุลเงินลดลง ซึ่งจะบั่นทอนความเชื่อมั่นและขัดขวางการยอมรับในสกุลเงินดิจิทัลนั้น ๆ
ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในตลาด
การทำธุรกรรมซ้ำซ้อนทำลายความเชื่อมั่นในสกุลเงินดิจิทัล นักลงทุนและผู้ใช้งานพึ่งพาความไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ของธุรกรรมบนบล็อกเชน หากปัญหานี้แพร่หลาย ความเชื่อมั่นในตลาดโดยรวมอาจลดลงอย่างมาก
เสถียรภาพของตลาด
ตลาดที่มีเสถียรภาพต้องอาศัยธุรกรรมที่ปลอดภัย การทำธุรกรรมซ้ำซ้อนเพิ่มความไม่แน่นอนและความไม่มั่นคงในตลาด นักลงทุนอาจลังเลที่จะเข้ามามีส่วนร่วม โดยกลัวว่ามูลค่าของทรัพย์สินที่ถืออยู่จะลดลงเนื่องจากการทำธุรกรรมที่ถูกฉ้อโกง
บล็อกเชนป้องกันการทำธุรกรรมซ้ำซ้อนได้อย่างไร?
บล็อกเชนป้องกันการทำธุรกรรมซ้ำซ้อนโดยใช้วิธีการที่หลากหลายผสมผสานกัน กลไกเหล่านี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการทำธุรกรรมแต่ละครั้งมีความเฉพาะเจาะจง โปร่งใส และไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้สินทรัพย์ดิจิทัลเดียวกันถูกใช้ซ้ำสองครั้ง
1. กลไกฉันทามติแบบกระจายศูนย์
บล็อกเชนดำเนินการโดยเครือข่ายของโหนด (คอมพิวเตอร์) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำธุรกรรมร่วมกัน โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งควบคุมระบบทั้งหมด ต่างจากระบบแบบรวมศูนย์ การทำธุรกรรมแต่ละครั้งจะถูกส่งไปยังเครือข่ายทั้งหมด และกลไกฉันทามติอย่าง Proof of Work หรือ Proof of Stake จะช่วยให้เครือข่ายเห็นพ้องกันเกี่ยวกับเวอร์ชันที่ถูกต้องของบัญชีแยกประเภท เมื่อการทำธุรกรรมได้รับการยืนยันแล้ว จะถูกเพิ่มเข้าไปในบล็อกและกลายเป็นส่วนหนึ่งของบล็อกเชน
โครงสร้างที่กระจายศูนย์นี้ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีส่งธุรกรรมที่ขัดแย้งกันได้สำเร็จ เนื่องจากการแก้ไขบัญชีแยกประเภทจะต้องควบคุมส่วนสำคัญของการประมวลผลหรือพลังการสเตคกิ้งของเครือข่าย
2. การประทับเวลาในการทำธุรกรรมและบัญชีแยกประเภทที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
การทำธุรกรรมในบล็อกเชนจะถูกจัดกลุ่มเป็นบล็อก ซึ่งมีการประทับเวลาและเชื่อมโยงกันด้วยการเข้ารหัสกับบล็อกก่อนหน้า ก่อตัวเป็นสายโซ่ เมื่อการทำธุรกรรมได้รับการยืนยันแล้ว จะถูกบันทึกอย่างถาวรในบล็อกเชนและแทบจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ยิ่งบล็อกเชนมีความยาวมากเท่าไร การทำธุรกรรมแต่ละรายการก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น เพราะการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกใดๆ ก่อนหน้าจะต้องทำซ้ำกระบวนการคำนวณทั้งหมดของบล็อกที่ตามมาด้วย
3. ข้อกำหนดการยืนยันของเครือข่าย
บล็อกเชน เช่น Bitcoin กำหนดให้มีการยืนยันหลายครั้งก่อนที่การทำธุรกรรมจะถือว่าสิ้นสุดสมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ Bitcoin มักรอการยืนยันอย่างน้อยหกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าการทำธุรกรรมไม่สามารถย้อนกลับได้ ความล่าช้าดังกล่าวทำให้ยากต่อการที่ผู้ไม่ประสงค์ดีจะดำเนินการโจมตีแบบ Race Attack (การส่งธุรกรรมสองรายการไปยังผู้รับที่ต่างกันในเวลาเดียวกัน)
4. ความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสลับ
การทำธุรกรรมบนบล็อกเชนได้รับการปกป้องด้วยระบบเข้ารหัสแบบกุญแจสาธารณะ (Public-Key Cryptography) โดยการทำธุรกรรมแต่ละครั้งจะลงนามด้วยกุญแจส่วนตัวของผู้ส่ง และโหนดในเครือข่ายจะตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็นด้วยกุญแจสาธารณะที่เกี่ยวข้อง วิธีนี้ช่วยยืนยันความถูกต้องของการทำธุรกรรมและป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตใช้เงินทุนของผู้อื่น
กลไกเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันปัญหาการทำธุรกรรมซ้ำซ้อน รักษาความเชื่อมั่นในระบบ และทำให้สกุลเงินดิจิทัลทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือและปลอดภัยจากการถูกปลอมแปลง
ติดตามเราได้ที่ เทเลแกรม, อินสตาแกรม และ เฟซบุ๊ก เพื่อรับการอัปเดตจาก Headway ทันที