วางแผนการเทรดของคุณให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ: กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง

Adam Lienhard
Adam
Lienhard
วางแผนการเทรดของคุณให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ: กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างมากคือเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ การวางแผนการเทรดให้สอดคล้องกับเหตุการณ์เหล่านี้สามารถช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากโอกาสได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือแนวทางที่คุณควรปฏิบัติ:

ทำความเข้าใจเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและผลกระทบของมัน

เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจคือการประกาศหรือรายงานที่มีกำหนดการล่วงหน้า โดยจะถูกเผยแพร่โดยรัฐบาล ธนาคารกลาง หรือสถาบันการเงินอื่น ๆ ซึ่งได้แก่:

  • การประชุมของธนาคารกลาง (ธนาคารกลางสหรัฐฯ, ธนาคารกลางยุโรป)
  • รายงานการจ้างงาน (การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ)
  • ข้อมูล GDP (รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ)
  • รายงานอัตราเงินเฟ้อ (ดัชนีราคาผู้บริโภค)
  • รายงานผลประกอบการ (สำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับนักเทรดหุ้นโดยเฉพาะ)

แต่ละเหตุการณ์สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดที่แตกต่างกันในรูปแบบที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นและส่งผลให้ตลาดหุ้นร่วงลง ในขณะที่รายงาน GDP ที่ต่ำกว่าคาดอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ การเข้าใจผลกระทบที่เป็นไปได้ของเหตุการณ์เหล่านี้คือขั้นตอนแรกในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเทรดของคุณ

กลยุทธ์ในการวางแผนการเทรดให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ

1. ติดตามปฏิทินทางเศรษฐกิจ

หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่นักเทรดควรมีคือ ปฏิทินทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะแสดงรายการเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งหมดที่มีกำหนดการในสัปดาห์หรือเดือนนั้น ๆ รวมถึงผลกระทบที่คาดการณ์ไว้ และตลาดที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุด

การติดตามการประกาศที่สำคัญช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรเปิดตำแหน่งก่อนเกิดเหตุการณ์หรือรอให้เหตุการณ์ผ่านไปแล้วเทรดตามการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นภายหลัง

2. หลีกเลี่ยงการเทรดก่อนเหตุการณ์สำคัญ

แม้ว่าอาจเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะวางตำแหน่งล่วงหน้าก่อนการประกาศทางเศรษฐกิจ แต่การหลีกเลี่ยงการเทรดก่อนเหตุการณ์สำคัญอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากความผันผวนมักเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเหตุการณ์ใกล้เข้ามา และตลาดอาจมีการเคลื่อนไหวที่คาดเดาไม่ได้ Slippage (เมื่อการเทรดดำเนินการในราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้) และการแกว่งของราคาอย่างกะทันหันอาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนอย่างมากหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับตำแหน่งของคุณ

กลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่าคือการรอให้เหตุการณ์ผ่านไปก่อน แล้วจึงเทรดโดยพิจารณาจากการตอบสนองของตลาด นักเทรดหลายคนชื่นชอบแนวทางแบบ “ตอบสนอง” นี้ เพราะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มที่ชัดเจนหลังการประกาศได้ แทนที่จะเสี่ยงกับความไม่แน่นอนก่อนเกิดเหตุการณ์

3. ใช้คำสั่ง Stop-Loss และ Limit Orders

เมื่อเทรดในช่วงที่มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ การใช้คำสั่ง Stop-Loss และ Limit Orders เป็นหนึ่งในเครื่องมือการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คำสั่ง Stop-Loss ช่วยปิดการเทรดโดยอัตโนมัติ หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณเกินกว่าจุดที่กำหนดไว้ เพื่อปกป้องคุณจากการขาดทุนที่มากเกินคาดในสภาวะตลาดที่ผันผวน ส่วน Limit Orders ช่วยให้การเทรดของคุณดำเนินการในราคาที่กำหนดไว้หรือดีกว่า

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเทรดล่วงหน้าก่อนรายงานการจ้างงานในสหรัฐฯ และคาดการณ์ว่าจะมีความผันผวนสูง การตั้งค่า Stop-Loss อย่างรัดกุมจะช่วยป้องกันความสูญเสีย หากรายงานดังกล่าวส่งผลต่อตลาดในทิศทางที่ไม่คาดคิด

4. การลดเลเวอเรจ

อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการจัดการความเสี่ยงคือการลดเลเวอเรจก่อนเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้น เลเวอเรจช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมตำแหน่งการลงทุนที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินทุนจำนวนเล็กน้อย แต่ในช่วงที่มีความผันผวนสูง สิ่งนี้อาจนำไปสู่การขาดทุนจำนวนมาก การลดเลเวอเรจจะช่วยลดความเสี่ยงและจำกัดโอกาสของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยอดเงินคงเหลือในบัญชีของคุณในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วน

5. การเทรดด้วยขนาดตำแหน่งที่เล็กลง

นอกจากการลดเลเวอเรจแล้ว ควรพิจารณาลดขนาดตำแหน่งเทรดของคุณก่อนเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ วิธีนี้ช่วยให้คุณยังคงอยู่ในตลาดและมีโอกาสทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา ในขณะเดียวกันก็สามารถจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น การเทรดด้วยขนาดที่เล็กลงหมายความว่าแม้ตลาดจะเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ผลกระทบต่อเงินทุนโดยรวมของคุณก็จะถูกจำกัดให้อยู่ในระดับที่จัดการได้

6. การกระจายการลงทุน

การกระจายการลงทุนเป็นกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีในทุกตลาด แทนที่จะกระจุกการลงทุนทั้งหมดในสินทรัพย์ประเภทเดียว ควรกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหรือตราสารทางการเงินที่มีโอกาสตอบสนองต่อเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในลักษณะที่แตกต่างกัน

ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจมีผลกระทบอย่างมากต่อคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับ USD แต่สินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำอาจมีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไป การกระจายการลงทุนในตลาด Forex สินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้น ช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์เดียวที่อาจส่งผลต่อพอร์ตการลงทุนโดยรวมของคุณได้

กลยุทธ์การเทรดหลังเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ

หลังจากสถานการณ์สงบลง ตลาดมักจะเริ่มเข้าสู่แนวโน้มใหม่ที่สะท้อนผลของเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ กลยุทธ์การเทรดหลังเหตุการณ์ ได้แก่:

  • การติดตามแนวโน้ม เมื่อตลาดเริ่มมีแนวโน้มเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว คุณสามารถเข้าสู่การเทรดตามทิศทางของแนวโน้มได้ ตัวอย่างเช่น หากรายงานการจ้างงานที่แข็งแกร่งช่วยเพิ่มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นักเทรดอาจมองหาตำแหน่งซื้อในคู่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ
  • การเทรดแบบกรอบ (Range Trading) บางครั้งตลาดยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบหลังเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข่าวที่ออกมาสอดคล้องกับความคาดหวัง ในกรณีนี้ คุณสามารถใช้กลยุทธ์การเทรดแบบกรอบเพื่อทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในระดับแนวรับและแนวต้านได้

การเทรดตามเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจอาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบและกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่มีวินัย คุณสามารถรับมือกับช่วงเวลาที่ผันผวนเหล่านี้ได้อย่างประสบความสำเร็จ

ติดตามเราได้ที่ เทเลแกรม, อินสตาแกรม และ เฟซบุ๊ก เพื่อรับการอัปเดตจาก Headway ทันที